วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

คำที่เขียนผิดจาก พจน แล้วทำให้งง

วันหนึ่งมีคนที่เคยเรียนด้วยโทรมาถาม ว่าเจอศัพท์คำนี้แล้วเดาไม่ถูกว่าแปลว่าอะไร

ខ្ចង

ก็เลยร้องอ๋อแล้วบอกไปว่า    ​​​ខ្យង​    ไง

คนโทรมาก็บอกว่ามันเขียน ย ยักษ์ไม่ใช่เหรอ เราเลยอธิบายว่าคนพนมเปญเขาออกเสียงแบบนี้ เขาเลยเขียนแบบนี้

ไม่ตรงกับที่เห็นในพจนานุกรม เลยถึงบางอ้อ

คนถามก็เขมรสุรินทร์แหละ แต่เขาออกเสียงเหมือนที่เขียนในพจนานุกรม พอเจอแปลกจากที่เคยรับรู้จึงงุนงง

ดังนั้นจึงต้องบันทึกเอาไว้​​ กรณีนี้

ทางพนมเปญคนหลายๆ คนเขาออกเสียงเป็น จ เขาก็เขียนด้วย จ ตามที่เขาออกเสียง บางทีไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่า ในพจนานุกรมเขียนอีกแบบ

ตัวเขียน เขียน ขฺยง ใน พจน แล้วออกเสียงเพี้ยน เป็น คจอง

พยัญชนะ ก-ค เป็น กักระเบิด ส่งอิทธิพลให้ พยัญชนะ ย ซึ่งเป็นพยัญชนะปากเปิดที่เกิดที่เพดานอ่อน เปลี่ยนเป็น พยัญชนะกักระเบิดแต่ยังเกิดที่เพดานอ่อนเหมือนเดิม

ด้วยอิทธิพลชนิดของพยัญชนะตัวหน้า ทำให้ ย เปลี่ยนเป็น จ

บางทีการเรียนรู้ภาษาจากพจนานุกรมก็ยังไม่พอ การเป็นคนเขมรท้องถิ่นถิ่นใดถิ่นหนึ่งก็ยังไม่พอที่จะเข้าใจภาษาเขมรของคนพนมเปญทั้งหมด

ก็ต้องแสวงหาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่อไปอีก

ดังนั้น วันหน้าหากเจอ   ខ្ចល់   ก็น่าจะคาดเอาได้ว่า น่าจะคือ​​   ខ្យល់   ที่แปลว่า ลม

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไปตามรถ

วันหนึ่งไปเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับกัมพูชาและเขมร (ข้าพเจ้าจะเรียก "กัมพูชา" ในฐานะที่เป็นประเทศ)

ก็มีคนหลายคนที่พูดภาษาเขมรได้มาร่วมประชุม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มีท่านหนึ่งมาจากภาคตะวันออกของประเทศไทย พูดอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และน่าสนใจมากหลายเรื่อง

ท่านผู้นั้นพูดถึงการเดินทางในกัมพูชาแล้วบอกว่า "ไปตามรถ" ข้าพเจ้าได้ยินแล้วหัวเราะทันที ไม่ใช่หัวเราะตลกขบขันที่เขาพูดนะ แต่หัวเราะชอบใจ

เพราะคำนี้นั้น แปลตรงตัวมาจากภาษาเขมร "ไปตามรถ" ในภาษาไทย คือ "ไปตามทาง" เช่น ไปตามทางเห็นชาวบ้านกำลังจับปลาอยู่ ไม่ได้หมายความว่า ไปตามรถ(มารับ) แต่อย่างใด

แสดงว่าผู้พูดนั้นเชี่ยวชาญภาษาเขมรในกัมพูชาแบบลึกซึ้งและส่งอิทธิพลต่อการใช้ภาษาไทยของเขา และหวั่นใจว่าเขาอาจพูดเขมรเก่งกว่าพูดไทยเสียด้วยซ้ำ เพราะใช้ภาษาไทยแล้วมีร่องรอยอิทธิพลภาษาเขมรแทรกมา

ส่วน "ผู้เชี่ยวชาญ" คนอื่นๆ นั้นไม่ปรากฏว่าใช้ภาษาแบบนี้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากอีสานใต้ พูดเขมรก็จริงแต่วลีแบบนี้นั้นอีสานใต้ใช้ตามไทย "ไปตามทาง"

สิ่งที่จับได้อีกก็คือ บางคนยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่านี่เป็นการพูดแบบที่ได้รับอิทธิพลจากเขมรในกัมพูชา

ទៅតាមឡាន

น่าสนุกที่ได้ยินอะไรแบบนี้​​​​

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเขียนสระอ็อม

สระอ็อมในภาษาเขมร คือ អំ
คนไทยหลายๆ คนเคยชินกับการเห็นสระ อำ ในภาษาไทย​​ ที่ตัวกลมๆ จะอยู่บน ตัวพยัญชนะต้น ครั้นเขียนหรือพิมพ์ภาษาเขมรก็เลยเขียนหรือพิมพ์แบบนั้น ตามความเคยชิน เป็นทั้งคนสอนคนเรียน ลูกปูตามแม่ปู
ข้าพเจ้าเลยกลายเป็นคนจ้ำจี้จ้ำไชปากเปียกปากแฉะ กับสิ่งที่พูดไปแล้วซ้ำซาก
ในภาษาเขมรนั้น สระอ็อมจะอยู่บนสระ อา ចាំ​
ถ้าเขียนมือก็ต้องจำเอาไว้ให้ดี แต่ถ้าพิมพ์ด้วยระบบฟอนท์ก่อนมียูนิโค้ด ก็ต้องจำเทคนิคการพิมพ์ให้ถูกต้อง แต่ถ้าใช้ยูนิโค้ดสมัยใหม่มันจัดให้เสร็จสรรพ สบายดี
ประเด็นคือบางคนที่ใช้ยูนิโค้ดก็ไม่ค่อยสังเกตสังกา พอกลับไปเขียนก็อีหรอบเดิม เอาไปวางบนพยัญชนะต้นคือเก่า หรือเมื่อเห็นคนเขียนผิดก็ไม่ได้ฉุกใจเตือน แม่ปูกับลูกปูจึงยังเดินแบบเดิม
หน้าที่ของข้าพเจ้าจึงคอยจัดการทั้งแม่ปูและลูกปู ระวังเถอะสักวันจะจับไปทำละแวกะดาม

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำแยกับพิธีเข้าร่มของหญิงเขมร

อ่านบทความวิชาการในเน็ต (ของดีที่เข้าถึงได้แม้ในขณะที่คุณใส่ชุดนอน) แล้วเจอพูดถึงพิธีเข้าร่มของหญิงเขมร จริงๆ เคยเขียนอธิบายไว้ในบล็อคแห่งหนึ่งไปแล้ว ในเรื่องนี้ว่าคืออะไร

ประเด็นคือในบทความนั้นกล่าวถึงว่าในขั้นตอนหนึ่งของพิธีออกจากร่มนั้น มีการขุดต้นไม้ชนิดหนึ่งมาทำพิธีด้วย โดยบอกว่าคือต้น "ตำแย" เราก็ตะหงิดๆ เล็กน้อย ครั้นไปสืบค้นดูในภาษาเขมรใช้คำว่า "แขญร"​ ​ ខ្ញែរ  ​ก็เลยไปเปิดพจนานุกรมชื่อพืชเขมร มันคือ หมามุ่ย (แต่หมามุ่ยบางคนก็เรียกมันว่าตำแย)

รื้อดูในเน็ตของเขมรปรากฏว่าไม่มีรูปให้ทัศนาเลย แต่มีคำว่า "หัว" ข้างหน้าพืชชนิดนี้ ดังนั้นอาจเป็นพืชมีหัว เราก็กลับไปสืบค้นต้นหมามุ่ยในข้อมูลภาษาไทย โดยมากบอกแต่ว่าเป็นเถา ไม่ได้ดว่ามีหัวหรือไม่มีหัว เลยยังไม่กระจ่าง ส่วน ตำแย แบบวัชพืชข้างบ้าน ไม่มีหัวอยู่แล้ว ที่พืชสองชนิดนี้มันพัวพันชื่อกันเพราะมันคันเหมือนกัน มีพิษต่อผิวหนังเละเนื้อเยื่อเหมือนกัน

ตอนนี้กำลังหาชื่อวิทยาศาสตร์ของตำแยไปเทียบกับชื่อเขมรว่าคือต้นอะไร รอว่างและอารมณ์ดีก่อน

ถามว่าเขาผิดไหมก็คงไม่ผิด แต่คำว่า ตำแย นั้นกำกวม ว่าจะหมายถึง ตำแยพืชล้มลุก หรือพืชเถาที่มีอีกชื่อว่าหมามุ่ย แล้วคนแปลนั้นจินตนาการเห็นต้นอะไรในความคิด ในพจนานุกรมไทย-เขมร ฉบับที่เพิ่งพิมพ์ก็แปลได้ใกล้เคียงกับการคาดคะเนของข้าพเจ้า

ก็คงต้องสืบเสาะต่อไป

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

culture shock สำเนียงภาษาเขมร

ตอนพาเด็กๆ ไปเที่ยวกัมพูชาแล้วยืมแกร่วอยู่แถวๆ ด่าน ตม. เขมรที่ปอยเปตเพื่อรอรถมารับนั้น ก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างแวะเวียนมาถามเผื่อใช้บริการแล้วก็นั่งคุยกันเจาะแจ๊ะอยู่ใกล้ๆ บนมอเตอร์ไซค์ของพวกเขา

เด็กๆ ก็ยืนฟังกันโดยไม่สนใจ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเด็กคนหนึ่งก็ตกใจที่รู้ว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างเหล่านั้นพูดภาษาเขมรกัน นึกว่าพูดกันเป็นภาษาเวียดนาม ท่าทางเด็กประหลาดใจมาก ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นเขมรสุรินทร์และเรียนเอกภาษาเขมรก็ตาม รวมทั้งเคยเจออาจารย์ที่มาจากพนมเปญด้วย

เด็กคนนั้นเข้าใจว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างเหล่านั้นคุยกันด้วยภาษาเวียดนามเพราะว่าสำเนียงในกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพนมเปญนั้นมีลักษณะแตกต่างจากภาษาเขมรสุรินทร์ที่คุ้นชินหลายๆ ประการ โดยเฉพะภาษาพูด

และก็มากพอขนาดที่คนเรียนภาษาเขมรมาแล้วยังไม่สามารถจับได้ แล้วดันนึกว่าเป็นภาษาเวียดนามไปซะ ส่วนภาษาของอาจารย์ที่มาจากพนมเปญก็จะมีสำเนียงภาษาพูดอีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นทางการ และยังคงมีความแตกต่างจากภาษาของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

ก็เลยบอกไปว่า ตอนข้าพเจ้าไปเหยียบพนมเปญวันแรก แล้วเขาพาเข้าไปซื้อของในตลาดสดนั้น ได้ยินแม่ค้าคุยกันยังนึกว่าคุยกันเป็นภาษาเวียดนามเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ตัวเราก็เขมรสุรินทร์เช่นกัน

ความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างข้าพเจ้ากับเด็กคนนั้นคือ ข้าพเจ้ามีพื้นเรียนเอกภาษาไทยและเคยเรียนภาษาเขมรมาตัวเดียวในชื่อวิชาภาษาเขมรในภาษาไทย ส่วนเด็กคนนี้เรียนเอกภาษาเขมรและเคยเจออาจารย์ที่มาจากพนมเปญมาแล้ว

ยังไม่นับอาจารย์สอนภาษาเขมรอีกสองสามคนที่มีพื้นมาจากอีสานใต้แล้วพยายามปรับสำเนียงตัวเองให้เป็นเขมรมาตรฐานแบบได้บ้างไม่ได้บ้าง มั่วบ้าง (ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น) ซึ่งไม่ตำหนิเพราะการปรับสำเนียงให้เป็นอื่นนั้นเป็นงานช้าง ลองไปดูครูสอนภาษาอังกฤษทั่วประเทศไทยเอาเถอะว่าสำเนียงเป็นฝรั่งกันแค่ไหน

ประเด็นอีกอย่างคือภาษาเขียนและมาตรฐานที่เรียนกันในห้องเรียนนั้นมันแตกต่างจากภาษาพูดของชาวบ้านชาวช่องพอสมควร เลยทำให้ฟังครั้งแรกในชีวิตเมื่อเจอของจริงแล้วไพล่เข้าใจไปว่าเป็นภาษาเวียดนาม

เออ แล้วทำไมต้องลากไปหาภาษาเวียดนาม ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าและเด็กคนนั้นไม่รู้ภาษาเวียดนาม อาจเป็นเพราะหนึ่งลักษณะบางประการที่จับได้มันคงไม่ใช่ภาษาจีนที่เคยพอเคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง แล้วสำเนียงพยางค์เดียวโดดๆ มีเสียงสูงๆ ต่ำๆ ภาษาแถวๆ นี้ก็มีเวียดนาม ดังนั้นจึงสันนิษฐานไปว่าน่าจะเป็นเวียดนาม

แล้วแม่ค้าในตลาดพนมเปญที่ข้าพเจ้าเจอตอนนั้นก็ขาวๆ กันจึงดูเหมือนเวียดนามไปกันใหญ่ แต่พวกมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงปอยเปตก็มิได้ขาวดุจไข่ปอก ดังนั้นสำเนียงพูดจึงน่าเป็นข้อมูลหลักในการคาดเดา

แต่ไม่แน่ใจว่า หลังจากจับได้ว่าคุยภาษาเขมรกันแล้วไม่ทราบว่าเด็กคนนั้นจะล้างหูแล้ว พยายามจับได้ไหมว่ามอเตอร์ไซค์รับจ้างเหล่านั้นคุยว่าอะไรกันบ้าง น่าสนใจนะ

สรุปว่าการเรียนรู้ในห้องเรียนอย่างเดียวก็คงไม่พอ ควรต้องได้สัมผัสของจริงด้วยเท่าที่จะหาโอกาสได้ สุดท้ายนี้อยากให้ผู้บริหารมาอ่านเจอจังเลย เผื่อจะอนุมัติโครงการต่างๆ ได้ง่ายขึ้นในอนาคต

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นครโคกทะโลกของเขมร คือต้นอะไรกันแน่

ก็อ่านเอกสารนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย วันดีคืนดีก็ไปเจอเอกสารที่เขียนว่า นครโคกทะโลกในตำนานของเขมรนั้น คือต้นหมัน

เราก็ว่าเราเคยตรวจสอบจากหนังสือรายชื่อพืชของไทยและของเขมรแล้ว (ไม่ใช่แค่เปิดพจนานุกรม) และเคยเขียนสะเปะสะปะในกระทู้มาบ้างแล้วว่า มันคือต้นมะพอก

ตรวจสอบแล้วชื่อพืชของไทยที่มักจะมีชื่อภาษาท้องถิ่นกำกับด้วยก็มีชื่อภาษาเขมรออกเสียงใกล้เคียงกับ ทะโลก

ตรวจสอบชื่อพืช ធ្លក ธโลก ในภาษาเขมร มีชื่อวิทยาศาสตร์ตรงกันกับมะพอกของไทยส่วนต้นหมันมีชื่อวิทยาศาสตร์ไปคนละทาง

เราไม่แน่ใจว่า กระแสที่แปลว่าต้นหมันนั้นมาจากไหน แต่เราอ่านเจอครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ที่มีสกุ๊ปพิเศษทาด้านวัฒนธรรมในวันอาทิตย์ และนิตยสารทางด้านศิลปวัฒนธรรมฉบับหนึ่งก็เคยลงไปแล้วว่าคือต้นมะพอก

วันดีคืนดีก็มาพบอีกในงานที่กำลังจะกลายเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก

จึงขอเขียนชี้แจง ณ ที่นี้ เป็นข้อมูล แลหากไม่เชื่อก็สามารถไปสืบค้นหนังสือรายชื่อพืชของไทยแล้วไปเปรียบเทียบกับของเขมรดูได้
 ดูข้อมูลต้นมะพอก

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คำยืมจากภาษาเขมรมักไม่ปรากฏรูปวรรรยุกต์จริงหรือ

มีคนบอกว่า คำยืมจาภาษาเขมรมักไม่มีรูปวรรณยุกต์ และใช้เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์หนึ่งในการพิจารณาคำยืมจากภาษาเขมร คำยืมจากภาษาเขมรที่เข้ามาแล้วไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์ก็มากมาย เช่น ซัก(ถาม) กระจับ กระจก จับ ทัน แจง แจก ฯลฯ

ก็คงใช่ส่วนหนึ่ง เพราะภาษาเขมรไม่มีวรรณยุกต์ มีไม่กี่คำที่ปรากฏรูปวรรณยุกต์ที่ใกล้เคียงกับจัตวา ซึ่งมักเป็นคำลงท้ายประโยค

แต่พอไปรื้อค้นบัญชีคำที่จดเอาไว้ ปรากฏคำยืมจากภาษาเขมรที่เข้ามาในภาษาไทยหลายคำปรากฏรูปวรรณยุกต์ขึ้นมา จะลองยกมาดูแล้วตอบเอาเองว่ามากพอไหม

รูปวรรณยุกต์เอก
กระดิ่ง กระท่อม กระเท่เร่ กระเส่า กระหยิ่ม กระอักกระอ่วน กร่าง(ต้นไม้) กร่าง(ท่าทาง) กริ่ง(เกรง) กรุ่น ก่อ(กริยา) ก่อ(ต้นไม้) คั่น ก่าย กาเหว่า ข่ม ขลุ่ย เขม่า โข่ง คร่ำ คร่ำคร่า ค่อม คั่ง คู่ แคร่ โค่ง โคร่ง เงี่ยน จ่า(หน้าซอง) จ่าย ฉ่ำ (ลูก)ช่วง ช่วย(บางคนว่าเขมรยืมไทย) ชั่ว ช่าง เชี่ยน(หมาก) เชื่อง ซ่าน ตรู่ ต่องแต่ง ตอม่อ ตะพุ่น ตะล่อม ต่าง(หน้า) ตุ่ม ถล่ม (เดิน)ท่อมๆ ทั่ว เที่ยง นี่ นู่น โน่น บ่ง ป่วน ปะแล่ม ป่าน(ฉะนี้) โป่ง พึ่ง พุ่ม เพลี่ยง ไพร่ มะกล่ำ มั่น เมื่อย แม่ แม่น ยี่สก เยี่ยม ร่วม ระหว่าง เร่ เรื่อง เรื่อย เรื่อยเปื่อย ล่ม ละม่อม ละมั่ง ละหุ่ง ลั่น แล่ สง่า สว่าง สะพรั่ง สะเหล่อ สาหร่าย เสงี่ยม เสน่ง หน่าย หม่อน เหนื่อย เหวี่ยง แหย่ง แหล่ง อีโหน่อีเหน่

รูปวรรณยุกต์โท
กระเบื้อง กระพุ้ง กว้าน-คว้าน ก้อง กั้น กำพร้า กิ้งโครง เก้งเค้ง แกล้ง แก้ว ขม้ำ ขย้ำ ขยี้ ขว้าง เขวี้ยง ขว้าว ขึ้ง แข้ง ครั้น คร้าม คลุ้ง(ต้นไม้) คว้า ค้ำ (ต้ม)โคล้ง ฆ้อง(มีใช้หลายภาษาแถวๆ นี้) จ้าน จ้ำ จิ้งจก จิ้งจอก จิ้งเหลน แจ้ ชั้น ช้ำ ด้น ด้วย ดักแด้ ด้าม (ช้าง)ต้น ต้วมเตี้ยม ต้อยตีวิต ตะกร้อ ตะกร้า ตะไคร้ ตุ้ม ไถ้ ท้น ท้วน ทั้ง นี้ นู้น บ้อง (ตัว)บึ้ง พร้อม พลั้ง มุ้ง ม้วน แม้น ยิ้ม ยิ้มแย้ม แย้ รั้ง ร้าน รื้อ ล้ม ล้วง ล้อม ละล้าละลัง สมุลแว้ง สร้าง สล้าง หม้าย ห้าว เหง้า อ้วก อ้าเอี้ยด

รูปวรรณยุกต์ตรี
กระต๊อบ (ไหล)โจ๊ก ตุ๊กแก

รูปวรรณยุกต์จัตวา
กระป๋อง จั๋งหนับ เป๋อเหลอ เอ๋ย

เว้นเสียแต่ว่าคำข้างต้นตรวจสอบได้ว่าเป็นคำจีน หรือภาษาอื่นก็สามารถตัดไป หรือหากคิดว่าเป็นคำไทยที่เขมรยืมก็ตัดไปได้ อย่างไรเสียก็มีจำนวนไม่น้อยอยู่ดี

ดังนั้น เราจะใช้เกณฑ์ที่ว่าคำยืมจากภาษาเขมรมักไม่ปรากฏรูปวรรณยุกต์นั้นได้หรือเปล่า ลองพิจารณาดูครับ